บทเรียนที่ได้เรียนรู้จาก เฮียฮ้อ (กับ RS ในวันที่ธุรกิจไม่เหมือนเดิม!!)

บทเรียนที่ได้เรียนรู้จาก เฮียฮ้อ (กับ RS ในวันที่ธุรกิจไม่เหมือนเดิม!!)

หนึ่งในธุรกิจที่ต้องปรับตัวมหาศาล เมื่ออุตสาหกรรมเปลี่ยน ..หนีไม่พ้น RS ของเฮียฮ้อ

วันนี้ได้มีโอกาสไปกับทีมบัวหลวง ได้เข้าพูดคุยกับเฮียฮ้อ ..ได้รับแง่คิดมุมมองที่เฉียบคมมาก และเชื่อได้เต็มปากเลยว่า หลังจากนี้ไป ธุรกิจที่เข้าใจการเปลี่ยนแปลง จะแปลงร่างเป็นธุรกิจสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งแทบไม่เหมือนเดิมอย่างสิ้นเชิง

สมัยเด็กๆ ผมเป็นวัยรุ่นที่โตมากับเพลง RS ครองใจวัยรุ่น ..พูดง่ายๆ ร้องกันได้ทุกเพลง ตั้งแต่ แรพเตอร์ , โดม (สมัยร้องเพลงวัยรุ่น) , ทัส , เสือ ธนพล ...เราก็ยังจำภาพเดิมว่า RS คือ ค่ายเพลง ที่ต่อสู้กับ Grammy ในยุคนั้น

คำถามแรกที่ผมถามเฮียฮ้อ ก็คือ

‘วันนี้ RS ทำธุรกิจอะไรครับเฮีย ?’

เพราะเร็วๆ นี้ RS จะเปลี่ยนกลุ่มอุตสาหกรรมแล้ว ไม่ใช่สื่อ ไม่ใช่บันเทิง แต่เป็น ธุรกิจบิวตี้ ความสวย ความงาม อาหารเสริม ...เฮ้ย!! งง มาก

นึกถึง อุตสาหกรรมในอดีต ที่ Kodak หรือ Fuji ที่อดีต ทำธุรกิจ ฟิล์ม แต่เดี๋ยวนี้ Kodak แทบเอาตัวไม่รอด ...ส่วน Fuji ก็เปลี่ยนไปทำธุรกิจความงาม การแพทย์ ...ประมาณว่า เปลี่ยนไปทำธุรกิจอื่นอย่างสิ้นเชิง

อย่าง มือถือ Blackberry ที่เคยเป็นบริษัทมือถือแถวหน้าของโลก วันนี้ก็พลิกไปทำ ธุรกิจ Software เพื่อ ยานยนต์ไร้คนขับ (นี่แหละ ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลง)

กลับมาที่คำถามว่า ‘วันนี้ RS ทำธุรกิจอะไร ?’

เฮียฮ้อบอกว่า ‘เราเหมือน 7-11 ที่ไม่ต้องมีหน้าร้าน !!’

งง หนัก เข้าไปอีก ..อะไรวะ ? ...บริษัทเพลงจะเป็น ร้านค้าแข่งกับ 7-11 ได้อย่างไร ?

ผมเลยยิงคำถามที่สอง ว่า ‘แล้ว ธุรกิจที่ RS ทำวันนี้ใครเป็นคู่แข่ง ?’ (ใช่!! เพราะ ถ้าเรารู้ว่าใครคือ คู่แข่งเราก็พอจะเห็นภาพธุรกิจได้ไม่ยากใช่ไหม)

ถ้าให้เดา เราก็คงคิดว่าคู่แข่ง RS ในวันนี้ ก็คงเป็น Grammy หรือ พวกดิจิตอลทีวี แต่ไม่ใช่ครับ เพราะรายได้หลักของ RS ไม่ใช่เพลง (วันนี้ธุรกิจเพลง คิดเป็นสัดส่วนที่เล็กมาก)

รายได้หลักต่อไปและการเติบโต ไปอยู่ที่ สินค้าบิวตี้ และ สินค้าอีกมากมาย ที่กำลังทยอยออกสู่ตลาด

ถ้าพูดถึงคู่แข่งที่ใกล้เคียง RS วันนี้ น่าจะเป็น Beauty ที่ทำร้ายขายเครื่องสำอางค์ หรือ ไม่ก็ Snail White เพียงแต่ แทนที่ RS จะขายผ่านร้านค้ากลับไม่ใช่ เฮียฮ้อ บอกว่า

สิ้นค้าบิวตี้ของ RS ขายผ่าน สื่อที่ RS มีอยู่ในมือ ซึ่งก็คือ ทีวีดิจิตอลช่อง 8 , ช่องดาวเทียม และ ก็วิทยุ

เดิมทีธุรกิจทีวี จะทำ content เพื่อสร้าง ยอดผู้ชมให้เยอะๆ ให้ Rating ดีๆ แล้ว ขายโฆษณา

แต่เฮียฮ้อ บอกว่า แทนที่จะขายโฆษณาอย่างเดียวเหมือนช่อง 3 ช่อง 7 ก็เอาเวลาบางส่วน มาขายสินค้าตัวเอง ซึ่งปรากฏว่า ขายดีมาก ...ถ้าดูผลประกอบการของ RS เราจะ ตกใจมากว่า ทำไมพอเข้าสู่ยุคทีวีดีจิตอล คนอื่นๆ แย่ลง แต่ RS กลับมีกำไรดีขึ้นเรื่อยๆ

และนี่คือ วิธีคิดคร่าวๆ ที่เฮียฮ้อ แชร์ให้ฟัง

1. ‘การที่ทีวีดิจิตอลอื่น เน้นทำอย่างเดียว คือ พยายามสร้าง Rating แล้วขายโฆษณา มันเหมือนมีคนมาแย่งเค้กชิ้นเดิม ซึ่งเม็ดเงินไม่เพิ่ม ..แต่คู่แข่งทำสื่อเพิ่ม’ ....เมื่อเค้กชิ้นเล็กลง ต้องตั้งคำถามใหม่ว่า ด้วยจุดแข็งที่ตัวเองมี สามารถหาเงินได้มากขึ้นอย่างไร ...นั่นเป็นที่มาที่ RS เปลี่ยน สื่อ ในมือให้เป็นร้านขายบิวตี้ ...เท่ากับว่า ร้านค้านี้มีคนดูวันนึงหลายแสนคน ก็หาของที่คนเหล่านี้ต้องการมาขาย มันก็ตรงกลุ่ม แถมได้เงินมากขึ้น

2. ‘หันมามองจุดแข็ง แล้วต่อยอด’ ...คนดูทีวีดิจิตอล ส่วนใหญ่ คือ คนอายุ 35 ขึ้นไป แล้วอยู่ต่างจังหวัด ...ดังนั้น การหาสินค้าที่เหมาะกับกลุ่มเป้าหมาย คือ ปัจจัยที่สำคัญมากสู่ความสำเร็จ

3. ‘เฮียฮ้อ ตั้งเป้ากำไร ตั้งแต่ปีแรกที่ทำ ทีวีดิจิตอล ในขณะที่คู่แข่ง ยังมองว่าต้องทนขาดทุน’ ...พูดง่ายๆ ว่า คู่แข่งเห็นแต่ค่าใช้จ่าย ...ในขณะที่ RS มองไปที่รายได้ ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำ (นี่เป็นวิธีคิดที่สำคัญ ที่ผมมองว่า Startup เมืองไทยขาด ...เนื่องจากตลาดเมืองไทยเล็กนิดเดียว จะมองแบบฝรั่งว่า ลงทุนยอมเข้าเนื้อไปก่อนแล้วไปเอากำไรวันข้างหน้า ธุรกิจอาจเจ๊งก่อนที่จะไปถึงเป้าหมาย ....ที่เราเห็นหลายๆ เจ้า ที่ทำทีวีดิจิตอลแล้วไม่รอด ก็เพราะ คิดแบบนั้น นั่นเอง)

4. ‘วันนี้เฮียฮ้อกำลัง ขยาย RS ไปสู่การขายตรงด้วย’ ..หลังจากวางแผนมาปีกว่าๆ เฮียฮ้อ ก็กำลังกระโดดเข้าไปจับตลาดขายตรง เพราะ ไม่ต้องลงทุนเพิ่ม แถมสามารถรับสมัครคนมาช่วยขายสินค้า ..เป็นการผนวกใช้ทีวี เพื่อเป็นที่รู้จักของสินค้า แล้วแบ่งกำไรให้ลูกค้าไปช่วยขายสินค้าอีกทาง ...จุดนี้น่าจะตรงกับกลุ่มลูกค้า RS ที่เน้น ต่างจังหวัดมากกว่ากรุงเทพ

5. ‘ถามถึง ธุรกิจเพลง เฮียฮ้อ เล่าให้ฟังว่า ...มันเป็นตลาดเสือนอนกิน แต่มันไม่โต’ ...วันนี้ใครอยากเป็นนักร้อง ไม่มีมาออกแบบเดิมแล้ว ...โมเดลใหม่วันนี้ นักร้องต้องร่วมลงทุน แล้วค่อยแบ่งกำไรกับ RS ...ทำแบบฝรั่งเลย คือ นักร้อง ต้องทำเองทุกอย่าง  แต่งเพลง อัดร้อง ลงทุนเอง ซึ่งใครคิดจะเป็นนักร้องยุคนี้ คุณต้องมีหัวการค้า แล้วเป็นนักธุรกิจด้วย (โคตรล้ำ)

เฮียฮ้อ ยังทิ้งมุมมอง ให้ฉุกคิด อีกว่า ‘ทุกวันนี้ต้องไปทำธุรกิจที่ Red Ocean เพราะ Red Ocean แปลว่า มีเงินเยอะ ...จะหาปลา ต้องไปที่ปลาชุม แล้ว ต้องรู้จุดแข็งตัวเอง รับรองรอด แล้วรุ่ง

เฮียฮ้อ บอกว่า ธุรกิจอะไรไม่ได้สำคัญ นั่นมันคนนอกมอง ...ถ้าเราไปยึดติดภาพที่คนนอกมอง เราจะจำกัดโอกาสตัวเอง ....ให้มองลูกค้าให้ขาด แล้วพยายามตอบสนองความต้องการนั่นแหละ ของจริง !!

ก็ได้วิธีคิดน่าสนใจ ไว้วันหลังผมจะมาเล่าเพิ่ม ....นี่แหละ เลือดผู้ประกอบการตัวจริง ปรับตัวได้ตลอด ...เพราะ มองตลาดเป็นที่ตั้ง มีความยืดหยุ่นแล้วไม่หยุดอยู่ที่เดิม

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม