คิดแบบเจ้าของกิจการ
คิดแบบเจ้าของกิจการ
วันนี้อยากฝากบอกนักขายทุกคนถึงแนวคิดข้อนึงครับ อันนี้เป็นสิ่งที่ผมก็ทำเองมาโดยตลอดตั้งแต่เป็นนักขาย และยังไม่ได้มีธุรกิจใดๆ เป็นของตัวเอง
แนวคิดที่ว่านี้คือ “ให้คุณคิดตลอดว่าตัวเองเป็นเจ้าของกิจการ” ห้ามคิดว่าตัวเองเป็นแค่ลูกจ้าง หรือแค่เป็นพนักงานขายคนหนึ่งเด็ดขาด
มาดูตัวอย่างกันครับว่าแนวคิดดังกล่าวมีอะไรบ้าง
- ให้ใช้ผลประโยชน์ของบริษัทเป็นที่ตั้งเสมอ เช่น อะไรที่ช่วยบริษัทประหยัดได้คุณก็ควรทำ
อาสาช่วยงานอย่างอื่นที่อาจไม่เกี่ยวกับงานตัวเอง ถึงแม้จะไม่ได้ผลตอบแทนอะไรเพิ่มก็ตาม
- พยายามศึกษาทักษะใหม่ๆ อะไรก็ตามที่อาจมีคุณค่าต่อบริษัท
บางคนอ่านแล้วก็อาจกำลังส่ายหน้าและไม่เห็นด้วย ผมยอมรับครับว่าตัวเองก็เป็นคนหนึ่งที่ไม่เคยเห็นด้วยกับเรื่องเหล่านี้เลยจนกระทั่งวันหนึ่งที่เริ่มคิดว่า “ถึงเวลาที่ตัวเองต้องเติบโตในสายงานได้แล้ว”
เพื่อให้เห็นภาพว่าแนวคิดประมาณนี้ดีต่อการเติบโตของคุณอย่างไร ผมขอลองเล่าให้ฟังครับ
- ถ้ามีคนสองคนผลงานใกล้เคียงกัน แต่คุณเป็นคนที่คำนึงถึงผลประโยชน์ของบริษัท ประหนึ่งเป็นบริษัทของตัวเอง คุณคิดว่าใครจะได้รับโอกาสในการเติบโตในสายงานมากกว่ากัน ที่สำคัญอย่าลืมว่าคุณอาจไม่ต้องออกแรงอะไรเพิ่มมากมาย ในการปกป้องผลประโยชน์เหล่านี้
- การที่คุณอาสาช่วยงานต่างๆ อาจจะนำมาซึ่งผลประโยชน์ที่คุณก็มองไม่เห็น เช่นการได้รู้จักคนใหม่ๆ หรือแนวคิดใหม่ๆ เปรียบเทียบง่ายๆ ว่าถ้ามีนักศึกษาจบใหม่มาสมัครงานสองคน คนนึงเรียนอย่างเดียวแต่อีกคนทำกิจกรรมนักศึกษาต่างๆ ตลอด คุณว่าใครมีภาษีดีกว่า
ถ้าคุณมีทักษะอะไรที่เด่นกว่าคนอื่น เช่น พูดภาษาจีนได้ ทำโปรแกรม Photoshop เป็น ถึงแม้จะไม่เกี่ยวกับเนื้องานตัวเองโดยตรง แต่ผมว่าถ้าคุณตั้งใจหาโอกาส คุณจะหาเจอว่าทักษะนั้นจะสร้างคุณค่าให้คนอื่นได้อย่างไร
ส่วนตัวผมยังมองไม่เห็นเลยว่าการที่มีแนวคิดแบบเจ้าของกิจการนั้นจะมีข้อเสียอะไรบ้าง ค่อยๆ ลองปรับจูนแนวคิดของคุณดูนะครับ รับรองว่ามีแต่ได้กับได้แน่นอน
วันนี้อยากฝากบอกนักขายทุกคนถึงแนวคิดข้อนึงครับ อันนี้เป็นสิ่งที่ผมก็ทำเองมาโดยตลอดตั้งแต่เป็นนักขาย และยังไม่ได้มีธุรกิจใดๆ เป็นของตัวเอง
แนวคิดที่ว่านี้คือ “ให้คุณคิดตลอดว่าตัวเองเป็นเจ้าของกิจการ” ห้ามคิดว่าตัวเองเป็นแค่ลูกจ้าง หรือแค่เป็นพนักงานขายคนหนึ่งเด็ดขาด
มาดูตัวอย่างกันครับว่าแนวคิดดังกล่าวมีอะไรบ้าง
- ให้ใช้ผลประโยชน์ของบริษัทเป็นที่ตั้งเสมอ เช่น อะไรที่ช่วยบริษัทประหยัดได้คุณก็ควรทำ
อาสาช่วยงานอย่างอื่นที่อาจไม่เกี่ยวกับงานตัวเอง ถึงแม้จะไม่ได้ผลตอบแทนอะไรเพิ่มก็ตาม
- พยายามศึกษาทักษะใหม่ๆ อะไรก็ตามที่อาจมีคุณค่าต่อบริษัท
บางคนอ่านแล้วก็อาจกำลังส่ายหน้าและไม่เห็นด้วย ผมยอมรับครับว่าตัวเองก็เป็นคนหนึ่งที่ไม่เคยเห็นด้วยกับเรื่องเหล่านี้เลยจนกระทั่งวันหนึ่งที่เริ่มคิดว่า “ถึงเวลาที่ตัวเองต้องเติบโตในสายงานได้แล้ว”
เพื่อให้เห็นภาพว่าแนวคิดประมาณนี้ดีต่อการเติบโตของคุณอย่างไร ผมขอลองเล่าให้ฟังครับ
- ถ้ามีคนสองคนผลงานใกล้เคียงกัน แต่คุณเป็นคนที่คำนึงถึงผลประโยชน์ของบริษัท ประหนึ่งเป็นบริษัทของตัวเอง คุณคิดว่าใครจะได้รับโอกาสในการเติบโตในสายงานมากกว่ากัน ที่สำคัญอย่าลืมว่าคุณอาจไม่ต้องออกแรงอะไรเพิ่มมากมาย ในการปกป้องผลประโยชน์เหล่านี้
- การที่คุณอาสาช่วยงานต่างๆ อาจจะนำมาซึ่งผลประโยชน์ที่คุณก็มองไม่เห็น เช่นการได้รู้จักคนใหม่ๆ หรือแนวคิดใหม่ๆ เปรียบเทียบง่ายๆ ว่าถ้ามีนักศึกษาจบใหม่มาสมัครงานสองคน คนนึงเรียนอย่างเดียวแต่อีกคนทำกิจกรรมนักศึกษาต่างๆ ตลอด คุณว่าใครมีภาษีดีกว่า
ถ้าคุณมีทักษะอะไรที่เด่นกว่าคนอื่น เช่น พูดภาษาจีนได้ ทำโปรแกรม Photoshop เป็น ถึงแม้จะไม่เกี่ยวกับเนื้องานตัวเองโดยตรง แต่ผมว่าถ้าคุณตั้งใจหาโอกาส คุณจะหาเจอว่าทักษะนั้นจะสร้างคุณค่าให้คนอื่นได้อย่างไร
ส่วนตัวผมยังมองไม่เห็นเลยว่าการที่มีแนวคิดแบบเจ้าของกิจการนั้นจะมีข้อเสียอะไรบ้าง ค่อยๆ ลองปรับจูนแนวคิดของคุณดูนะครับ รับรองว่ามีแต่ได้กับได้แน่นอน