50 ข้อ ที่ควรรู้และปฏิบัติก่อนลงโฆษณา Facebook

🤐 50 ข้อ ที่ควรรู้และปฏิบัติก่อนลงโฆษณา Facebook
-
1. โฆษณา Facebook คิดค่าใช้จ่ายเป็นแบบ Impression และเป็นระบบประมูลแข่งกัน ดังนั้นพอมีคู่แข่งเยอะ ราคาก็จะสูงตาม
-
2. ปัจจุบัน Organic Reach สำหรับ Business Page หรือการเข้าถึงปกติลดลงมากกว่า 100 เท่า เมื่อเทียบกับปี 2011
-
3.เมื่อปี 2018 ที่ผ่านมา Facebook มีกำไรมากขึ้น 2 เท่า โดยที่ไม่ได้มี User เพิ่มมากขึ้น 2 เท่า
-
4. ปีนี้เป็นปีแรกทีมูลค่าโฆษณาออนไลน์มากกว่าออฟไลน์ หมายความว่าเจ้าใหญ่ที่มีทุนมากมาย กำลังโยกงบจากออฟไลน์มาออนไลน์ ทำให้การแข่งขันสูงขึ้น ค่าโฆษณาเริ่มเพิ่มสูงขึ้นอีก
-
5. 84% ของมูลค่าโฆษณาออนไลน์มาจาก Facebook และ Google
-
6. อยากได้ผลลัพธ์แบบไหน ให้เลือกวัตถุประสงค์ในการลงโฆษณาแบบนั้น อยากได้ยอดขายให้เลือก Conversion อยากให้คนดูวิดีโอเลือกวิดีโอ อยากให้คนส่งข้อความมาหาให้เลือกลงโฆษณาแบบข้อความ ไม่มีทางที่เลือก Video View แล้วจะได้ยอดขายบนเว็บไซต์มากกว่าการเลือก Conversion เพราะระบบ Facebook ออกแบบวัตถุประสงค์มาให้เราเลือกที่จะนำส่งโฆษณาของเราไปยังกลุ่มเป้าหมายได้แม่นยำมากที่สุด
-
7. โฆษณา Facebook เป็นแพลตฟอร์มที่เลือกเจาะกลุ่มเป้าหมายประชากรศาสตร์ได้แม่นยำและทรงประสิทธิภาพที่สุดในโลก
-
8. สิ่งที่ทำให้ Facebook ทรงประสิทธิภาพในการลงโฆษณาคือ Pixel
-
9. Pixel เปรียบเสทอนเด็กน้อยที่คุณต้องค่อยๆป้อนข้อมูลให้ และพอคุณป้อนข้อมูลให้มากๆ เค้าจะฉลาดและเก่งขึ้น จนช่วยเหลือคุณได้แบบน่าแปลกใจ
-
10. หากคุณขายสินค้าผ่าน Messenger คุณจะไม่สามารถใช้พลังของ Facebook ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะคุณไม่ได้ให้ Account ของคุณเรียนรู้เรื่อง Pixel
-
11. สร้าง Asset Account ไว้เพื่อเก็บ Audience และแชร์ Audience ให้กับบัญชีโฆษณาเพราะคุณไม่รู้ว่าบัญชีโฆษณาของคุณจะถูกปิดเมื่อไร และหากบัญชีถูกปิด คุณก็สามารถแชร์ Audience ไปยังบัญชีใหม่ได้ทันที
-
12. อย่าใช้บัตรเครดิตเดียวกันกับทุกบัญชีโฆษณา เพราะถ้าหากคุณโดนแบนบัญชีเมื่อไร Facebook จะดูว่าคุณใช้บัตรนี้กับบัญชีใดบ้าง
-
13. หากถูกปิดบัญชีโฆษณา การร้องขอคืนเป็นเรื่องที่ทำได้ค่อนข้างยากมาก และใช้เวลาแนะนำให้สร้างบัญชีใหม่และแชร์ Audience มาเพื่อให้ลงโฆษณาทันที
-
14. เวลาจ้าง Agency หรือ Freelance อย่าให้พวกเค้าลงโฆษณาหลังบ้านแต่ให้เค้าสร้างบัญชีใหม่และแชร์ Audience ไปให้พวกเค้าแทน
-
15. Interest, Custom Audience และ Lookalike เป็นรูปแบบนึงในการเลือกกลุ่มเป้าหมาย คุณต้องเข้าใจการเลือกกลุ่มเป้าหมายแบบนี้เพราะเป็นพื้นฐาน
-
16. อย่าลงโฆษณาจาก Reach ไป Engagement และไป Conversion เพราะคุณจะเสียค่าโฆษณาเป็นจำนวนมากจากการกระทำแบบนี้ ยกเว้นแต่ว่าคุณมีฐานลูกค้าประมาณ 10,000 คน และจำหน่ายสินค้าที่กำไรสูงมาก และคุณต้องการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายกว้างเพื่อเพิ่มยอดขายมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
-
17. Lookalike คือการสร้างกลุ่มเป้าหมายที่คล้ายคลึงกลุ่มที่คุณสนใจ ดังนั้นหากคุณต้องการยอดขายให้สร้าง Lookalike จากกลุ่มคนที่ซื้อสินค้าของคุณ โดยยิ่งมีข้อมูลยิ่งเยอะยิ่งดี ขั้นต่ำแนะนำให้เป็น 1,000 แต่ถ้าจะให้ดีแนะนำเป็น 10,000
-
18. เวลาลงโฆษณา Lookalike อย่าเลือกลงกลุ่มเป็น LAL1%, LAL1-2%, LAL3% แต่แนะนำให้ลงเป็น LAL1%, เพราะถ้าคุณ exclude 1% ไป คุณกำลังบอก Facebook ว่าให้ไปหาคนที่คล้ายๆกับกลุ่มลูกค้าของคุณโดยที่ไม่เอากลุ่มที่เหมือนที่สุด 1% ซึ่งทำให้การสุ่มโฆษณาออกไปหาลำบาก
-
19. ลงโฆษณาแบบ Conversion ก็ต้องเลือก Interest ไม่ใช่ลงโฆษณาแบบ Conversion แล้วไม่ต้องใส่ Interest
-
20. ทุกครั้งที่ลงโฆษณาแบบ Conversion ให้ใส่มูลค่าของสินค้าไว้ด้วย เพื่อที่ Facebook จะได้เรียนรู้ว่าคุณคุ้มทุนหรือไม่
-
21. หยุดตามหากลุ่มเป้าหมายที่ขายดีเช่น Online Shopping หรือนักช็อปออนไลน์ คุณต้องทดสอบข้อมูลต่างๆด้วยตัวคุณเอง
-
22. หากวันนี้คุณมีงบลงโฆษณา Facebook วันละ 100-200 บาท คุณอาจจะไม่เหมาะกับแพลตฟอร์มนี้ ณ ตอนนี้ ผมแนะนำให้ไปลงขายสินค้าตาม Market Place ต่างๆเช่น Lazada, Shoppee หรือโพสต์ขายตามกลุ่มต่างๆบน Facebook
-
23. ถ้าวันนี้งบโฆษณาไม่เยอะยังไม่ต้องแบ่งกลุ่ม Exclude ต่างๆมาก เพราะจะทำให้ Facebook สับสน
-
24. อย่ากดบูสโพสต์หรือลงโฆษณาจากหน้าบ้าน เพราะคุณจะไม่สามารถปรับการตั้งค่าอื่นๆได้มาก
-
25. สิ่งสำคัญในการลงโฆษณา Facebook ให้ประสบความสำเร็จมี 3 ส่วนคือกลุ่มเป้าหมาย, ข้อความ และรูปภาพหรือวิดีโอ หากวันนี้ลงโฆษณาแล้วไม่ประสบความสำเร็จให้ย้อนกลับมาดูว่าเราพลาดสิ่งใดใน 3 ข้อนี้
-
26. หากคุณพึ่งเริ่มต้นธุรกิจ อย่าพึ่งลงโฆษณา Facebook ตั้งแต่เดือนแรก ให้โพสต์คอนเท้นต์วันละ 1 คอนเท้นก่อน อย่าใจร้อนรีบลงโฆษณา คุณต้องหาให้เจอว่าโพสต์ไหน ได้รับความสนใจจากกลุ่มเป้าหมาย และเริ่มเรียนรู้ที่จะทำโฆษณาจากคอนเท้นนั้น
-
27. เก็บรายชื่อผู้มุ่งหวังก่อนเสมอ เพราะถ้าอนาคตราคาค่าโฆษณาสูงขึ้น 10 – 50 เท่า คุณจะได้มีรายชื่อเอาไว้ไปส่งอีเมลล์ หรือส่งข้อความ SMS ต่างๆฟรี
-
28. Facebook ปรับเปลี่ยนกฎตลอดเวลา ดังนั้นคุณต้องเข้าใจว่ากฎอะไรที่อัพเดตใหม่ และบางครั้งเทคนิคเดิมก็อาจจะไม่ได้เวิร์คตลอดไป
-
29. Facebook เป็นบ้านเช่า เพราะทั้ง Follower หรือคนที่ Subscribe บนเพจของคุณ คุณไม่สามารถ Export ไปใช้ในที่ต่างๆได้ ดังนั้นระยะยาวจำเป็นต้องเตรียมการสร้างบ้านของุณเอง
-
30. ความรู้เบื้องต้นในการลงโฆษณา Facebook แบบฟรีมีมากมายใน YouTube และ Blog หากท่านพึ่งเริ่มต้น ลองศึกษาข้อมูลฟรีก่อนแล้วเริ่มลงมือทำ หลังจากนั้นค่อยหาแนวทางการต่อยอด
-
31. การเรียนรู้ที่ดีที่สุด คือการเรียนรู้จากการลงมือทำ และเวลาเจองานยากบางครั้งเช่นการติดโค๊ด อย่าเสียเวลาทำเองหมดให้ลองหาจ้างโปรแกรมเม่อร์ ค่าใช้จ่ายประมาณ 500 บาท
-
32. หากคุณพึ่งเริ่มเรียนรู้การลงโฆษณา คุณควรเผื่อใจล้มเหลวในการลงโฆษณาอย่างน้อย 3-6 เดือน เพราะการลงโฆษณาปัจจุบันยากกว่าเมื่อปี 2011 มาก
-
33. อย่าโฟกัสที่เทคนิคสายดำ แต่ให้ศึกษาการทำแบบถูกต้องเพื่อความเข้าใจ และรันธุรกิจได้ในระยะยาว
-
34. ทุกข้อมูลไม่ว่าจะกำไรหรือขาดทุนมีประโยชน์เสมอ ลองมองข้อมูลดีๆ
-
35. เวลาจะเพิ่มงบโฆษณาให้เพิ่มทีละ 50% และถ้าเพิ่มแล้วเริ่มไม่ได้กำไร ให้ย้อนกลับไปในจุดก่อนที่เราเพิ่มมา
-
36. สิ่งสำคัญในการปรับแต่งโฆษณา Facebook คือเปิดตัวที่ใช่ และปิดตัวที่ไม่
-
37. เวลาต้องการเพิ่มงบของกลุ่มโฆษณา ถ้าไม่รีบร้อนมากให้เพิ่มทีละ 50%
-
38. วันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ และวันหยุดยาวหรือวันหยุดนักขัตฤกษ์ มักจะมี Performance ที่ไม่ดีเสมอ
-
39. สำหรับคนขายของออนไลน์จะขายดีช่วงวันที่ 25 – 15 ของแต่ละเดือน ดังนั้นอย่าเอาตัวเลขหลังวันที่ 15 – 24 ไปเทียบกับชวงที่ขายดี
-
40. หากคุณพึ่งเริ่มต้นธุรกิจ และไม่ได้มีการทำแบรนด์ดิ้ง หรือการสร้างแบรนด์ที่ดี อย่าพึ่งลงโฆษณา Facebook
-
41. หากคุณมีงบลงโฆษณาเดือนละ 10,000 – 30,000 อย่าพึ่งจ้าง Freelance มาลงโฆษณาให้ คุณควรลองลงโฆษณาเองและดูผลลัพธ์เบื้องต้นสัก 1-3 เดือนก่อน หลังจากนั้นค่อยหาคนมาช่วยลงโฆษณา เพื่อดูว่าผลลัพธ์ของแคมเปญที่จ้างดีขึ้นหรือไม่
-
42. อย่าเอาผลลัพธ์เมื่อปีที่แล้วมาเปรียบเทียบกับผลลัพธ์ ณ ปัจจุบัน เพราะต่อให้คุณมีความรู้ความสามารถเท่าเดิม แต่จำนวนผู้ลงโฆษณามากขึ้น มันจึงไม่สามารถนำตัวเลขเก่ามาเป็นตัวกำหนดการวัดผลในปัจจุบัน
-
43. อย่าเอาเงินเก็บทั้งหมดไปเรียนรู้ เพราะกระแสเงินสดสำคัญมาก และอย่าลงโฆษณาเกินตัว จงเลือกให้เหมาะสมกับธุรกิจของคุณ
-
44. อย่าเชื่อข้อมูลที่ได้ยินจากคนอื่นมาทั้งหมด จงพิสูจน์ข้อมูลด้วยตัวคุณเอง
-
45. หาเพื่อนที่ชอบลงโฆษณา Facebook 5 คนและแลกเปลี่ยนความรู้ในการลงโฆษณาสัปดาห์ละครั้ง นี่คือหนทางการเรียนรู้ที่ดีที่สุดในระยะยาว
-
46. ลงโฆษณาหลักพันได้กำไรหลักหมื่น ยากมาก ตลอดเวลาที่ผมทำมา 9 ปี ผมไม่เคยทำได้เลย และถ้าลงโฆษณา 100,000 ได้กำไรวันละ 20,000 ก็ดีใจแล้ว เพราะเราได้กำไรวันละ 20% (มากกว่าการลงทุนหลายรูปแบบ) แถมยังได้ Brand Awareness เพิ่มขึ้นด้วย
-
47. ทันทีที่คุณเริ่มลงโฆษณา Facebook คุณจะล้มเหลว และล้มเหลวไปเรื่อยๆ หากคุณไม่มีเงินสำรองในการทดสอบอย่าพึงลงโฆษณา Facebook เพราะคุณมีโอกาสล้มเหลวถึง 6 เดือน
-
48. ทุกครั้งที่เปิดบัญชีโฆษณาใหม่และเริ่มลงโฆษณาวันแรกๆคุณมักจะได้รับผลลัพธ์ที่ดีเสมอ อาจเป็นเพราะ Facebook ต้องการส่ง Audience ที่ดีที่สุดให้กับคุณ
-
49. ติดตั้ง Google Analytics และ UTM ต่างๆเอาไว้ เพื่อที่คุณจะได้สามารถตรวจเช็คข้อมูลต่างๆได้อย่างแม่นยำ
-
50. หากงบน้อยหรือพึ่งเริ่มรันแคมเปญให้เลือก Conversion Window 7 Days และหากเริ่มเรียนรู้ไปสักพักนึงแล้วให้เปลี่ยนเป็น 1 Day และการนับค่า Conversion ของ Facebook และ Google ไม่เหมือนกัน ไม่ต้องซีเรียสมากลงโฆษณา Platform ไหน วัดค่า Platform นั้น Facebook นับ First Click แต่ Analytics นับ Last Click (ไม่ชัวร์ว่าตอนนี้ปรับหรือยัง)
-
🔥 ดาวน์โหลด Ebook Unleash Your Pixel ของผมได้ฟรีที่นี่: https://fbsecrets2020.com/ebook-fbads
-