มีมากใช้มาก ต้องลงทุน

ช่วงนี้เห็นข่าวบ่อยๆ ว่า ดาราดังพอแก่แล้วไม่มีเงิน ..หลายคนก็ตกใจว่า ดาราดัง ในอดีตก็ค่าตัวเยอะแยะ ...พูดง่ายๆ คือ ค่าตัวดารา นี่เยอะกว่ามนุษย์เงินเดือนตั้งเยอะ !!


ถ้าเทียบต่อชั่วโมง อาชีพดารา น่าจะได้ค่าจ้างสูงกว่าอาชีพหมอเสียอีก แต่ทำไมพอแก่ตัวไปแล้ว ไม่มีเงินเหลือ ?


จริงๆ ไม่แปลก แล้วยุคนี้ อาชีพอื่นๆ ที่ได้ค่าจ้างสูงๆ ก็ต้องระวังตัว 


เพราะ พอเราได้ค่าจ้างต่อชั่วโมงสูง เราจะประมาท คิดว่า เงินหาง่ายๆ ก็เลยใช้ไม่ระวัง


เราจะเห็นดาราดัง Hollywood , นักร้อง , นักมวย ที่ได้ค่าชกเป็นร้อยๆ ล้าน ทำไมล้มละลายได้ ...เราก็มักจะคิดว่า 'ถ้าเป็นเรา ไม่ทางเงินหมดหรอก' 


(แต่ไม่จริงเลย เพราะ ยิ่งได้เงินมาก เราก็ยิ่งใช้เงินมากตาม แล้วยิ่งอาชีพเหล่านี้ มันไม่ได้รุ่งตลอด มันมีช่วง Peak แค่ช่วงสั้นๆ ตามชื่อเสียง ที่มาเร็วไปเร็ว ดังนั้น คนที่ได้เงินมากๆ เร็วๆ ยิ่งต้องระวังตัว)


ที่เขียนบทความนี้ เพื่อจะเตือนสติ คนที่ได้เงินมา ให้รู้จักเปลี่ยนเงินก้อน ให้เป็นกระแสเงินสดบ้าง คือ เปลี่ยนจาก Active Income ให้เป็น Passive Income นั่นเอง


ลองเปิดใจศึกษาหุ้น ในมุมนักลงทุนระยะยาว คือ การเรียนวิธีการ 'วางเงินทำงาน' ..เรียนรู้ว่า เอาเงินวางตรงไหน แล้วเงินจะเติบโตได้ โดยทดสอบความเข้าใจตัวเองดังนี้


1. ให้ถามอย่างแรกเลยว่า เงินที่เข้ามาหาเรา คือ Active เอาแรงไปแลก (มาแล้วหมด) หรือ มันเป็น Passive (เงินมาจาก สินทรัพย์ที่เราไปลงทุน ให้ปันผลมา ..อันนี้มาเรื่อยๆ ไม่หมด แถมเติบโตด้วย)


2. ถ้าเรามี Passive น้อย แปลว่า ความรู้เรื่องการลงทุนเราไม่มี ..ให้รีบหาความรู้ด่วนครับ


3. พอเริ่มศึกษา ให้เริ่มลองใช้เงินจริง ทำตามไปด้วย แต่เริ่มจากน้อยๆ ..ผมแนะนำคือ 10% ของเงินเดือนแต่ละเดือน ...อย่าบอกว่าไม่เหลือ เพราะต้องกันส่วนนี้ออกมาก่อนใช้ 


4. พอเราเริ่มเข้าใจแล้ว ค่อยๆ เพิ่มจำนวนเงินลงทุนครับ 


แล้วสุดท้ายคุณจะ ไม่มีวันกลับไปจนอีก 


เรื่องนี้ผมว่า คือเรื่องที่เปลี่ยนประเทศ โดยเริ่มที่ตัวเราเองทุกคน ...หนึ่ง รู้ปัญหา ว่าเรามีปัญหาอะไร ..สอง ลงมือเปลี่ยน โดยการเพิ่มความรู้การลงทุน แล้วเปลี่ยนตัวเองครับ


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม