หนุ่มน้อยเพิ่งจบการศึกษาด้วยผลการ เรียนดีเยี่ยมไปสมัครงานใน ตำแหน่งผู้จัดการบริษัทใหญ่แห่งหนึ่

>>> Story of Appreciation <<<

#หนุ่มน้อยเพิ่งจบการศึกษาด้วยผลการ เรียนดีเยี่ยมไปสมัครงานใน
ตำแหน่งผู้จัดการบริษัทใหญ่แห่งหนึ่ง 
หลังจากผ่านการสอบสัมภาษณ์ครั้งแรกไปแล้ว 
ผู้อำนวยการได้เรียกเขาไปสัมภาษณ์เป็นครั้งสุดท้ายก่อนตัดสินใจ 
ผู้อำนวยการ เห็นข้อมูลในประวัติของเด็กหนุ่มคนนี้ว่ามีผลการเรียนเป็นเลิศในทุกวิชาตลอดมา 
นับตั้งแต่อุดมศึกษาจนจบมหาวิทยาลัย ไม่ปรากฏว่าเขาทำคะแนนตกเลย 

ผู้อำนวยการเริ่มคำถามว่า " เธอเคยได้รับทุนการศึกษาอะไรหรือเปล่า ?" 
เด็กหนุ่มตอบว่า " ไม่เคยครับ " 
ผู้อำนวยการถามต่อว่า " คุณพ่อของเธอเป็นคนจ่ายค่าเล่าเรียนให้ใช่ไหม? "
เด็กหนุ่มตอบว่า " คุณพ่อของผมเสียไปตั้งแต่ผมอายุได้ขวบเดียวครับ 
เป็นคุณแม่ที่จ่ายค่าเล่าเรียนให้ผม" 
ผู้อำนวยการถามต่อว่า " คุณแม่ของเธอทำงานที่ไหน? " 
เด็กหนุ่มตอบว่า " คุณแม่รับจ้างซักผ้ารีดผ้า " 

ผู้อำนวยการขอดูมือของเขา 
เด็กหนุ่มยื่นมือที่เรียบลื่นไม่มีที่ติให้ผู้อำนวยการดู 
ผู้อำนวยการถามต่อว่า " เธอเคยช่วยคุณแม่ของเธอทำงานบ้างหรือเปล่า ?"
เขาตอบว่า " ไม่เคยครับ คุณแม่ต้องการให้ผมเรียนแล้วก็อ่านหนังสือเยอะ ๆ คุณแม่ซักผ้าได้เร็วกว่าผมด้วยครับ " 
ผู้อำนวยการบอกว่า " ฉันมีเรื่องให้เธอช่วยทำอย่างหนึ่งนะ 
วันนี้ เธอกลับไปที่บ้าน ช่วยล้างมือของคุณแม่ของเธอแล้วกลับมาพบฉันอีกทีพรุ่งนี้เช้า " 

ด้วย ความมั่นใจว่าโอกาสที่จะได้งานทำมีอยู่สูงมาก 
เมื่อเขากลับไปถึงบ้านเขา จึงรู้สึกเต็มใจที่จะล้างมือให้แม่ของเขา 
ฝ่ายแม่รู้สึกประหลาดใจระคน หวั่นใจ เธอส่งมือให้ลูก 
หนุ่มน้อยค่อยๆ ล้างมือให้แม่ แล้วน้ำตาไหลก็ออกมา

เขาเพิ่งรู้สึกว่ามือของแม่นั้นช่างเหี่ยวย่นและ เต็มไปด้วยริ้วรอยขูดข่วน 
ซึ่งบางแผลพอโดนล้างน้ำก็ทำให้แม่เจ็บจนตัวสั่นระริก

นี่เป็นครั้งแรกที่เด็กหนุ่มตระหนักรู้ว่า
มือคู่นี้เองที่ซักผ้าทุกวัน เพื่อหารายได้มาส่งเีสียให้เขาได้เล่าเรียน 
รอยแผลเหล่านี้คือ ราคาทีแม่ต้องจ่ายไปเพื่อความสำเร็จในการศึกษาของเขา เพื่อผลการเรียนที่ ยอดเยี่ยมของเขาและอาจจะเพื่ออนาคตของเขาด้วย

คืนนั้นสองแม่ลูกได้คุยกัน อยู่นาน 

เช้าวันต่อมา เด็กหนุ่มก็เดินทางไปที่ออฟฟิศของผู้อำนวยการ 
ผู้อำนวยการสังเกตเห็นน้ำตาในดวงตาของเขา จึงพูดขึ้นว่า 
" ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยว่าเมื่อคืนที่บ้าน เธอทำอะไรบ้าง แล้วได้บทเรียนอะไร ? " 
เด็กหนุ่มตอบว่า " ผมล้างมือให้แม่ครับ แล้วก็เลยช่วยแม่ซักผ้าที่เหลือจนเสร็จ " 
ผู้อำนวยการบอกว่า " ช่วยเล่าให้ฉันฟังหน่อยว่า เธอรู้สึกยังไง " 

เด็กหนุ่มตอบ 
"ข้อที่หนึ่ง ผมได้รู้ซึ้งถึงคำว่า สำนึกในบุญคุณ 
ถ้าไม่มีแม่ก็คงไม่มีความสำเร็จของผมด้วย

ข้อที่สอง จากการช่วยแม่ทำงาน 
ผมได้รู้ว่ามันลำบากยากเย็นยังไงกว่าจะทำอะไรออกมาสักอย่างหนึ่ง 

ข้อที่สาม ผมได้เรียนรู้ถึงความสำคัญของความรักและความผูกพันในครอบครัว "

ผู้อำนวยการจึงบอกว่า " นี่คือสิ่งที่ฉันต้องการ
ฉันอยากได้ คนที่รู้ค่าของการได้รับความช่วยเหลือ 
อยากได้คนที่เข้าใจถึงความลำบาก ของใครสักคนในการจะทำอะไรได้มาสักอย่าง 
และอยากได้คนที่ไม่ได้ตั้งเงิน เป็นเป้าหมายในชีวิตแต่เพียงอย่างเดียว 
มาเป็นผู้จัดการให้ฉัน เป็นอันตกลงว่าฉันรับเธอไว้ทำงาน " 

ในเวลาต่อมา เด็กหนุ่มคนนี้ก็ได้ทำงานอย่างหนักและได้รับความนับถือจากผู้ใต้บังคับบัญชา 
ลูกจ้าง ทุกคนทำงานเป็นทีมอย่างขยันขันแข็ง กิจการของบริษัทก็เจริญก้าวหน้าเป็นอย่างดี 

เด็กที่ถูกตามใจจนเป็นนิสัยได้รับทุกอย่างที่ต้องการ 
จะสร้างนิสัยเอาแต่ใจตัวเองและเห็นแก่ตัวเองเป็นอันดับแรก 
เขาจะไม่สนใจ ความเหนื่อยยากของพ่อแม่ 
เมื่อถึงวัยทำงานเขาก็จะคาดหวังว่า ใคร ๆ จะต้องเชื่อฟังเขา 
เมื่อเขาเป็นผู้จัดการ เขาจึงไม่มีวันรู้ว่าบรรดาลูกจ้างนั้นลำบากอย่างไร 
และมักจะโทษคนอื่น

คน ลักษณะนี้อาจจะทำงานได้ อาจจะประสบความสำเร็จช่วงหนึ่ง 
แต่ในที่สุด แล้ว เขาจะไม่สำเหนียกคุณค่าของความสำเร็จ 
หากยังคงคร่ำครวญ เคียดขึ้ง และไม่มีวันรู้สึกเพียงพอ

ถ้าเรา เป็นพ่อแม่ประเภทที่ปกป้องลูกแบบนี้ จงถามตัวเราว่า 
เรากำลังให้ความรัก กับลูกหรือ กำลังทำลายเขากันแน่ ? 
เราให้ลูก ๆ มีบ้านใหญ่ ๆ อยู่ กินอาหารดี ๆ เรียนเปียโน ดูทีวีจอใหญ่
แต่เวลาที่เราตัดหญ้า ลองให้ลูกได้ทำด้วย 
หลังอาหาร ให้เขาล้างถ้วยชามของตัวเองพร้อม ๆ กับพี่ ๆ น้อง ๆ 
ไม่ใช่ว่าเราไม่มีปัญญาจ้างคนรับใช้ 
แต่เพราะเราอยากจะให้ความรักกับพวกเขาอย่างถูกวิธี 
เราอยากให้เขาเข้าใจว่า ไม่ว่าพ่อแม่จะจนหรือจะรวย 
วันหนึ่งก็จะต้องผมขาว แก่เฒ่าลงไป เหมือนกับแม่ของเด็กหนุ่มคนนี้

สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ลูกของเราจะได้เรียนรู้ คือ รู้คุณค่าของความพยายาม 
ได้รู้จักว่า ความยากลำบากมันเป็นยังไง และได้เรียนรู้ที่จะทำงานร่วมกับผู้อื่นให้เป็น

ที่มา http://mblog.manager.co.th/lady007/th-107626/
ขอบคุณบทความ & รูปภาพ : "พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง"

~ขอบคุณเจ้าของภาพ~

HelloRayong