บุญชัย เบญจรงคกุล "เรียกผมว่า Philanthropist"


เขาชุบชีวิตฮีโร่ขึ้นมาท่ามกลางความขัดแย้งที่ยังขุ่นข้น เพราะคิดว่าขนาดคนเป็นๆ ยังช่วยให้ปรองดองกันไม่ได้ ก็ต้องลองให้วิญญาณมาช่วยดูสักตั้ง
      “คนดีไม่มีวันตาย” องก์หนึ่งในภาพยนตร์ "ขุนรองปลัดชู" นอกจากจะประกาศก้องในลมหายใจสุดท้ายของวีรชนสามัญชนผู้ไม่เคยได้รับการจดจำมาถึง 252 ปี ยังเป็นเงาสะท้อนความคิดความเชื่อของผู้ชุบชีวิต "ฮีโร่วิเศษชัยชาญ" ให้กลายมาเป็นข้อถกเถียงและทบทวนถึงวาทกรรมเรื่อง “รักชาติ” ของคนไทย พ.ศ.นี้

      ชื่อของ บุญชัย เบญจรงคกุล ไม่ว่าจะเคยถูกจดจำในฐานะอดีตผู้บริหารเครือข่ายโทรศัพท์มือถือยักษ์ใหญ่ Dtac หรือในภาพของคนรักศิลปะผู้ครอบครองผลงานระดับมาสเตอร์พีซมากที่สุดคนหนึ่งของเมืองไทย หรือแม้แต่ผู้ก่อตั้งมูลนิธิสำนึกรักบ้านเกิด หลังจากนี้เขาขอแนะนำตัวเองใหม่ว่า “คนทำงานสาธารณะ (Philanthropist)”
      บนเก้าอี้ผู้อำนวยการสร้าง เขาควักกระเป๋ากว่า 40 ล้านบาทเพื่อฟื้นตำนานขุนรองปลัดชูที่มีหลักฐานในพงศาวดารเพียง 2 บรรทัด ให้โลดแล่นในรูปแบบของภาพยนตร์เพื่อใช้ในรายการสารคดีประวัติศาสตร์เชิงวิพากษ์ "วีรชน คนถูกลืม ตอนขุนรองปลัดชู" ที่ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ Thai PBS ทว่าในฐานะของคนที่เฝ้ามองความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในเมืองไทยตลอดหลายปีที่ผ่านมา นี่คือการลงทุนเพื่อสิ่งที่เรียกว่า “กตเวที”
      ไม่ว่า ขุนรองปลัดชู จะมีตัวตนจริงหรือไม่ สำหรับบุญชัยในวัย 58 ปี ผู้ที่นิตยสารฟอร์บส์ยกย่องให้เป็นหนึ่งในเศรษฐีใจบุญของเอเชีย ฮีโร่ที่เขาสร้างขึ้นจะเป็นผู้ยืนยันว่า "คนดีไม่มีวันตาย"

      อะไรคือแรงบันดาลใจในการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้
      ย้อนหลังไป 7 ปีที่แล้ว ผมยังไม่รู้จักขุนรองปลัดชู ตอนนั้นคุณสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม กับพวก มาชวนให้ไปเยี่ยมค่ายทหารและเยาวชนสำนึกรักบ้านเกิด แล้วไปแวะทำพิธีปลดปล่อยวิญญาณวีรชนกลุ่มหนึ่งหลายร้อยคนซึ่งเขายังวนเวียนอยู่บนหาดที่เขาตาย ผมก็ไป ตอนที่เราไปถึงเป็นช่วงสายๆ ดูแล้วเป็นพื้นที่ที่สดใส ผมก็เริ่มจินตนาการว่าถ้าคนมารบกัน ยุทธภูมิด้านหนึ่งเป็นทะเลอีกด้านหนึ่งเป็นหาด มันทำให้ผมนึกถึงหนังเรื่อง 300 เพราะเรื่องนี้มีมานานแล้ว ผมก็ถามว่านี่มันกี่คน เขาบอก 400 ก็คล้ายๆ กัน ก็ไม่มีอะไร

      วันนั้นพอทำพิธีอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับขุนรองปลัดชูกับพวก กลับกรุงเทพเขาก็เอาหนังสือมาให้อ่าน อ่านไปก็รู้สึกว่าน่าสนใจนะ ประเด็นในพงศาวดารก็ดี ประเด็นเรื่องตัวขุนรองปลัดชู ผมว่าน่าจะมีคนได้รับรู้มากกว่านี้ เพราะว่าประวัติศาสตร์เรามันเต็มไปด้วยการแย่งชิงอำนาจกัน ผมก็คิดว่าน่าจะทำเป็นหนัง แต่พอให้เขาประเมินดู เงินทุนมันก็เท่ากับที่ทำวันนี้ แต่ตอนนั้นคิดว่าไม่คุ้มก็วางไป จนกระทั่งมีเพื่อนชวนไปซื้อที่ดินตรงหาดหว้าขาว ผมก็กลับมาเริ่มคุยกับคุณแหม่มสุรัสวดี เชื้อชาติ (ผู้กำกับ) กับคุณปณต อุดม (โปรดิวเซอร์) ว่าเรามีทางที่จะศึกษาเพิ่มเติมมั้ย เพราะว่าเรื่องราวของท่านน่าสนใจอยู่


      ตอนนั้นคิดว่าเราลองทำหนังมั้ย โดยที่เราไม่เคยทำมาก่อน คุณแหม่มคุ้นเคยกับผมมาสิบปีก็ทำแต่โฆษณาของสำนึกรักบ้านเกิด ผมดูฝีมือแล้วแกค่อนข้างจะเก่งเรื่องการบีบคั้นอารมณ์ จากหนังหนึ่งนาทียังทำให้ร้องไห้ก็ได้หัวเราะก็ได้ ทีนี้ถ้าเราเอาเรื่องคุณรองปลัดชูมาทำ แกน่าจะบีบอารมณ์คนดูให้มีความรู้สึกร่วมได้

      เหตุการณ์บ้านเมืองเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้หรือเปล่า
      เหตุการณ์ในภาพยนตร์มันอาจจะไม่เหมือนปัจจุบันทีเดียว แต่ความวุ่นวายก็จะเกิดจากเสนาบดี เสนาบดีก็เหมือนกับผู้บริหารประเทศ เทียบได้กับรัฐมนตรีในยุคปัจจุบันนี่แหละ ผมว่ามันควรให้ประวัติศาสตร์มาพูดคุยอะไรกับเราบ้าง เพราะยุคนี้เป็นยุคที่คนเริ่มใช้ปัญญากันมากขึ้น ใช้ประวัติศาสตร์ ใช้เนื้อหามาทะเลาะกัน เราก็คิดว่ามันมีมิติของการโยงเรื่องให้เกิดความรักชาติ ถ้าเข้าใจคำว่า "ชาติอยู่ได้ เราอยู่ได้"

      อย่างเวลาเขาตีกัน เขาทะเลาะกัน ผมออกจากบ้านไม่ได้ เพราะว่าถนนปิด ไปโน่นมานี่ไม่ได้ วันนี้ต้องถูกบังคับให้ปิดบริษัท หยุดงานสามสี่วัน ผมคิดว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ควรจะนิ่งดูดาย ผมคิดว่าความขัดแย้งของเขา เขาควรไปอัดกันในสภาซิ คุณเป็นตัวแทนประชาชน คุณก็ไปทะเลาะกันในนั้น แต่ไม่ใช่เอาพื้นที่อื่นมาแล้วทำให้ทุกคนมีความรู้สึกไม่มั่นคง ก็เลยคิดว่าถ้าเราทำหนังขึ้นมา เรื่องราวของขุนรองปลัดชู สามารถที่จะสะท้อนความคิดอุดมการณ์ของคนคนหนึ่ง จะมีตัวตนจริงหรือไม่ ผมคิดว่ามันไม่ใช่ประเด็น ถ้าเราเชื่อเราศรัทธาในสิ่งใด เราก็สามารถยึดสิ่งนั้นเป็นกำลังใจให้ฟันฝ่าอุปสรรคในชีวิตประจำวันได้
      สำหรับขุนรองปลัดชู ผมคิดว่าเรายังไม่เคยมีฮีโร่ประเภทนี้ เป็นแบบรุก คือรุกไปเพื่อปกป้อง แบบรับเรามีหลายคนแล้ว นายจันหนวดเขี้ยว นายทองเหม็น แล้วก็มีตำนาน มีวัดสี่ร้อยอยู่ ผมเคยไปคุยกับเจ้าอาวาส คุยกับคนวิเศษชัยชาญ เขาก็เชื่อของเขา แล้วทำไมเราไม่ลองทำเป็นภาพยนตร์ดู ผมก็เลยไปชวนคนที่เก่งในเรื่องประวัติศาสตร์ มีความมานะพอที่จะค้นคว้า คือคุณเอก เอี่ยมชื่น มาคุย คิดว่าถ้าเราสามารถทำเนื้อหาขึ้นมาเป็นภาพได้ เราน่าจะสื่อสารอะไรบางอย่างให้กับสังคมที่มีความขัดแย้งอย่างสูงตอนนี้ได้ ให้หยุดคิดก่อนนะ อย่าเพิ่งพังบ้านเลย เพราะว่าบ้านเดียวกัน เราต้องพยายามรักษาไว้

      อะไรคือประเด็นหลักที่ต้องการสื่อสาร
      เรื่องความรักชาติ ความเสียสละ ความกตัญญูกตเวที ผมว่าคนไทยเราถูกสอนให้รู้จักความกตัญญู แต่ส่วนใหญ่ไม่มีกตเวที คือเรากตัญญูต่อแผ่นดิน กตัญญูต่อเพราะเจ้าอยู่หัวของเรา ต่อพ่อต่อแม่ ทุกวันพ่อวันแม่เรานึกถึงพ่อแม่ของเรา แต่หลังจากนั้นก็ไม่ได้ทำอะไร แต่ถ้าเป็นคนที่กตัญญูและกตเวที คือต้องทดแทนบุญคุณท่านด้วย ทีนี้สำหรับเรา เราจะทดแทนบุญคุณแผ่นดินกับพระเจ้าอยู่หัวก็ต้องมีวิธี หนึ่งด้วยการทำดี สองชักชวนคนอื่นให้ทำดี วิธีนี้ก็เป็นวิธีการหนึ่งที่จะชักชวนให้คนมาทำดี


      ภาพยนตร์ออกฉายในสถานการณ์ที่ยังมีความขัดแย้งแบ่งฝ่าย กังวลมั้ยว่าจะเกิดการตีความผิดไปจากเจตนาของคุณ
      จริงๆ แล้วมันเกือบจะไปฉายก่อนเลือกตั้ง แต่ผมบอกให้เบรกก่อน เขาทะเลาะกันก็บาดหมางพอแล้ว เราอย่าไปเติมเชื้อไฟ เดี๋ยวจะกลายเป็นว่า..เห็นมั้ยบุญชัยยังเห็นด้วยเลย คือดูแล้วเห็นด้วยได้ทั้งสองฝั่งเลย ผมว่ามันไม่ดี ก็เลยเบรก ตอนนั้นทุกคนเครียดมาก เบรกตัวโก่งเลย แล้วก็นั่งรอว่าเมื่อไหร่จังหวะเวลาถึงจะเหมาะสม ซึ่งตอนนั้นหนังเสร็จแล้ว เหลือแค่ตัดต่อเท่านั้น

      อย่างตอนขุนรองฯท่านพูดว่า “บ้านเมืองมันถูกกัดกินจนผุกร่อน เพียงลมพายุแม้แต่นิดเดียว...” มันต้องกลับมาคิดว่า เอ๊ะ เขาคิดว่าเราเป็นสีอะไรรึเปล่า จริงๆ แกเป็นวีรชนชาวบ้าน แต่พอเราบอกว่ามาเชิดชูชาวบ้านว่า ชาวบ้านก็สามารถดูแลบ้านเมืองได้ดีเท่าชนชั้นปกครอง ก็ถูกตีความอีกว่าเข้าเรื่องอำมาตย์กับไพร่หรือเปล่า


      แต่ถึงจะนำมาฉายหลังเลือกตั้ง คนก็ยังนำไปผูกโยงกับสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบัน?
      ผมคิดว่ารายการทีวีเราออกอากาศไปจนถึงตอนที่รัฐบาลตั้งแล้ว คนที่เป็นไพร่ พอเดินเข้าสภาก็กลายเป็นอำมาตย์แล้ว ใช่มั้ย (ยิ้ม) เพราะฉะนั้นจะเห็นว่าพวกที่ไปตะโกนๆ ที่ราชประสงค์อีกหน่อยก็ใส่ชุดรัฐมนตรี ส่วนใครจะเอาไปเคลมว่าเป็นฮีโร่ของกลุ่มตัวเองก็เชิญ เพราะท่านไม่ได้เป็นฮีโร่ของผมคนเดียว ผมเอาเรื่องท่านมาเล่า ทิ้งไว้ให้คนคิด คนบางคนอาจดูแล้วไม่ชอบก็ไม่เป็นไร แต่อย่างน้อยก็เป็นการแสดงออกของผมว่า ผมกตเวทีต่อแผ่นดิน ต่อพระเจ้าอยู่หัว ตัวขุนรองปลัดชูเป็นคนที่มีความกตัญญูกตเวทีต่อพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศมาก เพราะฉะนั้นผมคิดว่าหลายอย่างท่านก็เป็นตัวแทนทัศนะเราได้


      หลังจากรายการวีรชนคนถูกลืมออกอากาศแล้ว เสียงตอบรับเป็นอย่างไรบ้าง
      ก็ดีครับ คือในรายการทีวีทุกวันจันทร์เราจะให้นักวิชาการมาถกเถียงกัน อย่างในครั้งแรก อาจารย์ศรีศักร (วัลลิโภดม) ท่านก็บอกว่าท่านไม่เชื่อหรอก ท่านก็มีประเด็นของท่าน แต่ท่านก็ไม่เถียงว่า คุณสร้างฮีโร่ขึ้นมาได้ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้เราดำเนินชีวิตต่อไปในสังคมแบบไทยๆ ผมคิดว่าสังคมที่มีการทะเลาะเบาะแว้งก็ต้องมีการปรองดองกัน ทีนี้คนเป็นๆ ยังทำไม่ได้ ก็ลองให้วิญญาณมาช่วย
      หรืออย่างเรื่องพม่า ถ้าดูต่อไปก็จะรู้ว่าพม่าเองก็ไม่ใช่แบบที่เราไปด่าเขา ไปเกลียดเขานะ ผมว่าเขาเป็นชาตินักรบ เขาเป็นคู่แข่งเหมือนกับผมเคยมีคู่แข่งที่เป็นคนมีอำนาจ มันจะเข้าใจว่าความเป็นคู่แข่ง เราแข่งกันเรื่องอะไร แข่งเรื่องค้าขาย แข่งเรื่องความมั่งคั่งของแผ่นดิน ผมว่าสองร้อยกว่าปีที่แล้วกับปัจจุบันมันก็คล้ายๆ กันคือ มนุษย์เรายังไม่ได้เปลี่ยนอะไรไปเยอะแยะ นอกจากเสื้อผ้ากับรถยนต์ แล้วก็โทรศัพท์มือถือ ผมก็ยังหวังในความปรองดอง


      ปรองดองในทัศนะของคุณเป็นแบบไหน
      ปรองดอง เกื้อกูล เห็นอกเห็นใจมันอยู่ในกลุ่มเดียวกันหมด ปรองดองก็คือต้องเจอกันครึ่งทาง วันนี้ไม่มีใครชนะ ไม่ใช่ดำ-ขาว ทุกเรื่องแม้กระทั่งเรื่องภาคใต้ เรื่องเขมรก็เหมือนกัน คือถ้าเป็นเรื่องที่ทำให้เราต้องบาดหมางกัน หรือบาดหมางกับชาติอื่น ผมก็ไม่อยากให้เราต้องไปเสียดินแดนอะไรให้เขาหรอก แต่จะทำอย่างไรล่ะ คือหาจุดที่มันรอมชอมกันได้ มันมีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่า เช่นเรื่องปากท้อง เราต้องปรองดองโดยดูประโยชน์สำคัญหลักเป็นที่ตั้ง


      ทุกวันนี้วางตัวเองไว้ในฐานะนักธุรกิจ อาร์ติส หรือคนทำงานเพื่อสังคม?
      ผมมีหลายภาคในตัวเอง ในภาคที่เป็นอาร์ติสก็เป็นอาร์ติสมาก ภาคที่เป็นนักธุรกิจก็เป็นนักธุรกิจได้ดี ในภาคที่เป็นคนทำงานสาธารณะผมก็ทำได้ดีมากเหมือนกัน ในภาคธุรกิจผมว่าประเทศไทยเราศักยภาพสุดยอด ถ้าวันนึงเราสามารถตั้งหลักได้ดีๆ คนในชาติทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุด อย่าบกพร่องในหน้าที่ นักการเมืองเวลามาบริหารประเทศชาติแล้วอย่าบกพร่องในหน้าที่ หน้าที่คุณคือเอางบประมาณไปใช้ให้ถูกที่ ถูกกับความจำเป็น พูดง่ายๆ ไม่ต้องสร้างถนนแปดเลนทุกจังหวัดหรอก บางจังหวัดผมไปวิ่งมาแล้วมันหวิวนะ จังหวัดใหญ่ๆ ที่ผู้แทนเขาเอาใจเต็มที่ โอ้ โห โคมไฟสูง 20 เมตรอะไรอย่างนี้ ทำเหมือนกับจะแข่งกับกรุงเทพฯ ไม่จำเป็นหรอก

      บ้านเราสิ่งที่ดีคือดิน แต่ขาดน้ำ เพราะฉะนั้นที่ไหนขาดน้ำ เอาน้ำไปส่ง ทีนี้จะปลูกอะไรก็ได้ ชาวโลกอยากกินอะไรเราก็ปลูกแบบนั้น อาหารนี่คนตะวันออกกลางยังบอกว่ามีคุณค่ามากที่สุด มากกว่าน้ำมัน แล้วดูในเชิงธุรกิจ พื้นที่เพาะปลูกที่สู้เมืองไทย ไม่มี และนั่นคือสิ่งที่พระเจ้าอยู่หัวทรงตระหนักดีมาตลอด ขาดน้ำอย่างเดียว ฉะนั้นถ้าเราสามารถจะประคองชาติเราไปในระหว่างที่ความขัดแย้งมันเกิดขึ้น ถึงจุดหนึ่งมันก็อาจจะมีคนมาแก้ได้
      ส่วนด้านศิลปะ เดือนพฤศจิกายนนี้ผมจะเปิดพิพิธภัณฑ์ พื้นที่ประมาณสองหมื่นตารางเมตร ตึก 5 ชั้น จริงๆ ไม่อยากพูดถึงตัวเลข แต่อยากให้เห็นภาพ เฉพาะค่าอาคารอย่างเดียวก็ 600 ล้านบาทแล้ว ถ้ารวมที่ดินก็เกือบ 1,000 ล้านบาท ผลงานศิลปะนี่ไม่ต้องไปนับ พอดีผมเก็บไว้เยอะ ความตั้งใจของผมก็คืออยากให้คนไทยทั้งหมดมาเห็นถึงความเป็นอารยะของตัวเอง ฉะนั้นจะมีคนสองกลุ่มที่ผมให้ดูฟรี คือนักศึกษากับเยาวชน นักศึกษานี่ไม่จำกัดอายุ วันหนึ่งมากี่รอบก็ได้ ส่วนตรงกลางผมขอเก็บสตางค์ ผมว่านี่จะเป็นส่วนหนึ่งของความเป็นชาติไทยที่มีพลัง

      เหตุผลนี้หรือเปล่าที่ทำให้ฟอร์บขนานนามว่า "วีรบุรุษใจบุญ"
      โชคดีที่ฟอร์บส์เขายกย่องให้ คนส่วนใหญ่ก็นึกว่าผมไปทำบุญที่วัดเยอะ ผมบอกไม่ใช่นะ นิยามของฟอร์บส์กับคนตะวันตก ความใจบุญคือทำกับคน กับสังคม เขามาสัมภาษณ์ว่าอาชีพคืออะไร ผมก็บอกว่า philanthropist ก็เหมือนกับที่บิล เกตส์ หรือวอร์เรน บัฟเฟต ที่บอกว่าตอนนี้เขาไม่ใช้ businessman แล้วนะ แต่เขาเป็น philanthropist ซึ่งแปลว่า คนทำงานสาธารณะ
      ผมเลยอยากยกประเด็นนี้ขึ้นมาว่า เมืองนอกเขายกย่องความเป็นอารยะผ่านศิลปะและวัฒนธรรม เขาไม่ได้ยกย่องความเป็นอารยะเพราะว่ามีเศรษฐีเยอะ หรือเขาไม่เคยให้ความเป็นอารยะกับประเทศบางประเทศที่ผู้ปกครองมีเฟอรารี่ 20 คัน แต่เขาดูว่าเมืองไทยเรามีความงดงามเรื่องศิลปวัฒนธรรม แล้วเราก็เกิดมาพร้อมกับสิ่งนี้ ซึ่งพิพิธภัณฑ์ที่ผมทำก็จะกลับมาปลุกตรงส่วนนี้ในจิตสำนึกที่นอนนิ่งให้มันขึ้นมาอยู่ในชีวิตประจำวันของทุกคน

 
      แล้วงานในส่วนของสำนึกรักบ้านเกิด-ร่วมด้วยช่วยกัน เป็นอย่างไรบ้าง
      ตอนนี้เรามีสถานีวิทยุ 10 แห่ง คือเราไปหาสถานีทุกจังหวัดที่เขามีผู้ฟังเยอะ ขอแบ่งเวลาในช่วงเช้าสัก 2 ชั่วโมงเพื่อจัดรายการ Farmer Info ให้ดีเจเป็นคนทำงานเพื่อสังคม ทำงานให้เกษตรกร ไปเยี่ยมเขาที่ไร่ ถ่ายรูป แล้วมาลงในเว็บ แล้วเอาองค์ความรู้จากชุมชนหนึ่งไปยังอีกชุมชนหนึ่ง เป็นการเข้ามาเปิดร้านในเว็บสำนึกรักบ้านเกิดโดยไม่คิดมูลค่า แล้วผมก็ทำเว็บไซต์ทำแอพลิเคชั่นบนมือถือขึ้นมา เพื่อให้บริการข้อมูลเรื่องราคาสินค้า ราคาอาหารวันนี้ ราคาซื้อราคาขาย ถ้าคนที่เป็นเกษตรกรก็อยากจะทราบราคาซื้อที่ดีที่สุด ส่วนคนซื้อก็สามารถรู้ว่าในประเทศไทยจะซื้ออะไรได้ที่ไหน
      เมื่อพร้อมในสองปีเราก็จะเริ่มแปลเว็บเป็นภาษาอังกฤษ คือถ้าเป็นการค้าขายในประเทศเราถือว่าร่วมด้วยช่วยกันไป คนไทยเราไม่กินกำไรกัน แต่พอไปสู่ชาวโลกก็เป็นเรื่องของการค้าขายแล้ว เรามีค่าบริการได้ ผมมองว่าทำไมคนเมืองใช้ประโยชน์จากสมาร์ทโฟนกับอินเทอร์เนตพวกเดียว ทำไมไม่ให้ชาวบ้านใช้ล่ะ คุณภาพชีวิตจะดีขึ้นทันที แล้วระหว่างทดลองเราเห็นเลยว่ามันเวิร์ค แค่ให้ขายของต่างอำเภอก็ได้สตางค์มากขึ้นแล้ว


      ชีวิตตอนนี้ถือว่าเปลี่ยนไปมากไหมหลังจากไม่ได้เป็นนักธุรกิจเต็มตัว
      ผมว่าตอนนี้ผมมีความสุขมากกว่านะ ตอนนั้นมันหัวลูกโป่งคือเราคิดไปตามฟอร์จูนแม็กกาซีน ตามฟอร์บส์ ตามอะไร ล่าสุดเพิ่งเห็นเพื่อนร่วมธุรกิจที่อินเดียที่เขาเป็นหุ้นส่วนเทเลนอร์ เขาเพิ่งมากรุงเทพฯเมื่อไม่กี่เดือนนี้เอง ตอนนี้ก็ติดคุกอยู่ คือเขาเด็กกว่าผมนะ ประมาณ 10 ปีมั้ง ทำให้ผมนึกถึงตัวเองสมัยก่อนคือเรามองว่าฉันต้องไปอยู่บนหน้าปกฟอร์จูนนะ เราอันดับที่เท่าไหร่แล้ว

      ทุกวันนี้ผมเปลี่ยนไปแบบหน้ามือเป็นหลังมือเลย การใช้ชีวิตก็เปลี่ยน เดี๋ยวนี้ผมตื่นสาย ตื่นประมาณ 11 โมง นอนตีสามตีสี่ ทำเรื่องศิลปะ เรื่องเพลงเรื่องหนังอะไรไป เพราะคุยกับคนในวงการบันเทิงก็จะเป็นพวกค้างคาว แล้วผมก็ไม่เร่งรีบเหมือนเมื่อก่อน ได้ทำอะไรสมกับที่เกิดมาเป็นประชาชนของพระเจ้าอยู่หัว สมกับที่คนจะไม่นิยามเราเป็น “เสี่ย” อะไรอย่างนี้
      ผมว่าคำว่า "เสี่ย" ไม่มีอะไรดีสักอย่าง เวลาจั่วหัวหนังสือพิมพ์หรืออะไรมีแต่เสี่ยเฮงซวยทั้งนั้น ตอนนี้ถ้ามีคนเผลอเรียก ผมก็สวนกลับไปเลยว่า อย่าเรียก ถ้าจะเรียกเสี่ย เรียกไอ้เหี้ยดีกว่า (หัวเราะ) เพราะมันก็เหมือนด่าอยู่แล้ว

      ความสุข ณ วันนี้ ในวัยนี้ของคุณบุญชัยคืออะไร
      ความสุขวันนี้ของผมคือการได้สะสมบุญเยอะๆ ผมเชื่อเรื่องตายแล้วเกิดใหม่หรือไปเกิดในภพอื่น ผมเชื่ออย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นผมมีความสุขที่ได้สะสมบุญทุกวัน ได้ชื่นชมได้ช่วยให้แวดวงศิลปะได้เฉิดฉายเป็นที่ประจักษ์ของชาวโลก ผมว่าในส่วนที่เป็นคนรักศิลปะ เวลาได้คุยกับศิลปินผมมีความสุข คุยเรื่องจินตนาการ คุยเรื่องรูปแบบของงานศิลปะ ทำให้ได้คิดได้เข้าใจอะไรมากขึ้น
      หลังจากนี้ ถ้างานสามส่วนนี้ คือ ขุนรองปลัดชู พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัย และ สำนึกรักบ้านเกิด สำเร็จ ผมก็นอนตายตาหลับแล้ว  


ที่มา bangkokbiznews.com