ผมแทบไม่รู้ว่าอะไร คือ ความสำเร็จ

ผมแทบไม่รู้ว่าอะไร คือ ความสำเร็จ

- ปริญญาตรี ทุนเรียนฟรี เกียรตินิยมอันดับ 2
- ปริญญาโท ทุนเรียนฟรี 50% เรียนจบภายใน 1 ปี 4 เดือน เกรด 4.00



เรื่องราวที่จะเล่าเพียงเพื่ออยากให้กำลังใจกับใครที่กำลังเผชิญกับความลำบากในการศึกษา รวมถึงเพื่อเป็นวิทยาทานในการส่งต่อกำลังใจ และแรงบันดาลใจ
ผมเป็นลูกชายคนเดียวของครอบครัวที่มีพี่น้อง 5 คน ซึ่งผมเป็นคนที่ 4 แน่นอนว่าต้องรายล้อมด้วยพี่สาว น้องสาว เท่าที่จำความได้ผมถูกเลี้ยงดูแบบง่ายๆ จากพี่สาวบ้าง คนข้างบ้านบ้าง ใครว่างก็เอาไปเลี้ยงให้ผ่านไปได้แต่ละวันไป เดินไปทางไหนก็มีแต่คนเรียกว่า “ลูกขี้เมา” แน่นอน คำนี้ต้องมีที่มา พ่อผมเองที่เมา จำความได้ก็เห็นพ่อกินเหล้าเมาตลอดเวลา ส่วนแม่ก็ต้องไปขายของในตลาดตั้งแต่ตีหนึ่ง กลับบ้านอีกทีก็ประมาณบ่ายสอง หลังจากนั้นแม่ก็ต้องนอนพักเพื่อไปขายของต่อ ผมเห็นแม่เป็นแบบนี้มาเป็นสิบปี และนี่แหละ ทำไมผมถึงต้องโดนฝากเลี้ยงจากคนข้างบ้านไปเรื่อยๆ พอผมโตมาผมเองก็ต้องออกไปช่วยแม่ขายของที่ตลาดในช่วงมัธยม แต่ก็เป็นจุดเชื่อมชีวิตที่สำคัญว่าผมเห็นแม่ทำงานเหนื่อย ทำงานหนัก ทำให้ผมไม่อยากจะเกเรให้ท่านเสียใจ และที่มันท้าทายชีวิตมากกว่านั้น คือ บ้านผม เป็นบ้านเช่าในซอยหลังตลาด สิ่งที่เห็นจนชินตาก็คือ เด็ก วัยรุ่น คนชรา ในซอยบ้านผมตั้งวงกินเหล้า เล่นการพนัน บ้างก็ดมกาว เดินลึกไปท้ายซอยหน่อยก็มียาเสพติดแทบทุกชนิด แต่ๆๆๆ สำหรับผมแล้ว ไม่เคยลอง ไม่คิดจะลอง เพราะเห็นมาหมดแล้ว ทำให้ชีวิตผมปัจจุบัน ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่

ผมไม่ได้เป็นเด็กที่เรียนเก่งอะไรเลย ขี้อายที่สุด แต่สิ่งที่เห็นรูปภาพเก่าๆ และจำได้ คือ เป็นหัวหน้าห้องตั้งแต่อนุบาล เป็นตัวแทนถือป้ายโรงเรียนในงานกีฬาสี เป็นนักกีฬา เป็นกรรมการนักเรียน เล่นดนตรีไทย เป็นเด็กกิจกรรมโดยบังเอิญมาโดยตลอด ตั้งแต่เรียนประถม 1 ถึง ประถม 6 เด็กนักเรียนในห้องประมาณ 50 คน ผมจะสอบได้ที่ 45-50 มาโดยตลอด ที่เป็นจุดสูงสุดของวัยนั้น คือ ตอนประถม 4 สอบได้ที่สุดท้ายของห้อง โหยน่าภูมิใจดิเห้ย แล้วยิ่งตอนประถม 6 ถึงขั้นส่งใบคำตอบข้อสอบให้เพื่อนทำให้เลยครับ เริ่มสงสัยใช่มั้ยว่าจะเข้าเรียนมัธยม 1 ได้ยังไง ก็ความสามารถพิเศษนักกีฬาไงครับ ได้เรียนโรงเรียนประจำจังหวัด แต่ผลการเรียนตอนมัธยมก็ไม่ได้ดีเด่นอะไรเลยสอบได้อันดับท้ายๆ มาตลอด แต่ละวันก็โน้นเลย เตะบอลกลางสนาม คำถามคือ รอดมาได้ไง เห็นแบบนี้สิ่งที่ผมทำมาโดยตลอด คือ งานต่างๆ จะเดี่ยว จะกลุ่ม การบ้านทุกอย่างส่งตามเวลา ถึงแม้จะลอกคนอื่นก็เหอะ มัธยมปลายก็มีแก้ศูนย์ไปบ้างตามสไตล์

สมัยของผมยังเป็นยุคของการสอบเอ็นทรานซ์ ยอมรับเลยว่าผมไม่มีความเครียดเรื่องที่เรียนเลย อะไรก็ได้ สอบๆ ไปตามธรรมเนียม คะแนนก็ไม่ได้ดีอะไร ยื่นไปคะแนนก็ไม่ได้ติดที่ดีๆ เหมือนคนอื่นๆ แต่ที่มันงง และพี๊คมาก คือ ผมไปสอบตรงที่นอกเหนือจากการสอบเอ็นทรานซ์แล้วติดวิศวกรรมศาสตร์ของมหาวิทยาลัยชื่อดังของภาคใต้ โห งงมาก แล้วที่มันงง หรือมึนไปกว่านั้น ไม่เอาครับ ไม่ไปเรียน ความคิดตอนนั้น คือ ฐานะทางบ้านเราผมเองก็ยังไม่แน่ใจ เพราะมีน้องอีกคนที่ต้องเรียน บอกที่บ้านว่าจะไปเรียนที่ที่ให้เรียนฟรี จะไปคัดตัวนักกีฬาที่กรุงเทพมหานคร ขอลองไปคัดตัวนะ และแล้วผมก็ได้ที่เรียน เรียนฟรีในระดับปริญญาตรี ในตอนนั้นไม่มีเป้าหมายอะไรเลยว่าอนาคตจะเป็นอะไร อยากเป็นอะไร รู้แค่ให้ได้เรียนฟรี ต่อมาเรื่องของการเลือกเรียน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะเรียนอะไร ทางมหาวิทยาลัยก็ถามว่าเลือกคณะอะไร ตอบแบบลูกแม่ค้าเลยครับ ขอเรียนคณะที่แพงที่สุดครับ ตอนนั้นก็ได้เรียนวิทยาการคอมพิวเตอร์ ซึ่งถือว่าเรียนหนักมาก ที่สำคัญต้องเรียนวิชาเคมีตอนปี 1 ด้วย โหย ตอนมัธยม 6 เพิ่งจะแก้ศูนย์มา ถึงขั้นไปขออาจารย์ว่าขอย้ายคณะ แต่ก็ต้องขอบคุณอาจารย์ที่ไม่ยอมให้ผมย้าย ให้อดทน แล้วผมก็ผ่านมันมาได้ แต่ที่ยากกว่านั้น อย่าลืมว่าผมต้องเล่นกีฬาชดใช้ทุนที่เรียนฟรี ผมต้องซ้อมกีฬาเพื่อแข่งขันเป็นตัวแทนของมหาวิทยาลัยแทบทุกวัน ทั้งเช้า และเย็น คำถามคือ เรียนก็หนัก จะไหวแหรอ แล้วผมก็จบเกียรตินิยมอันดับสอง

ผมมักเป็นคนที่ไม่เคยทิ้งโอกาส เชื่อในสิ่งที่ทำเสมอ ทำดี ต้องได้ดี นอกเหนือจากการเรียนแล้ว หากมีเวลาว่างผมจะหารายได้พิเศษเสมอ ทั้งไปเป็นพนักงานแฟมิลี่มาร์ท รับซ่อมคอมพิวเตอร์ตามหอพัก ไปเฝ้าร้านขายของมือสอง รับลงประกาศ อะไรที่ได้เงินก็จะทำหมด เพราะไม่ได้ขอเงินทางบ้าน หรือถ้าจะได้ก็จากพี่สาว พอนึกย้อนกลับไปมีเงินใช้เดือนละไม่เกิน 2,000 บาทในกรุงเทพอยู่ได้ไง แต่มันก็ผ่านมาได้ด้วยแกงถุงละ 10 บาทหลายๆ มื้อ วนๆ ไป
มาถึงช่วงของการได้งานทำหลังจากเรียนจบ ก็คงไม่ต่างอะไรกับคนทั่วไป ที่เรียนจบทำงาน ซึ่งได้ทำงานกับบริษัทเอกชน เงินเดือนก็ถือว่าเยอะมากสำหรับวัยอย่างเราตอนนั้น ไม่ถึงสองหมื่น ก็เริ่มทำงานเก็บเงินตามนิสัยเดิมๆ ส่งให้พ่อแม่บ้างตามโอกาส แต่ก็เหมือนจะบ่อยเป็นนิสัยจนถึงปัจจุบัน เงินก็เหลือ ถามว่าเพราะอะไร ก็เหล้าไม่กิน บุหรี่ไม่สูบ ไม่เที่ยว ไม่แบรนด์เนม ไม่กินข้าวห้าง ที่ตลกกว่านั้น คือ กินข้าวข้างทางถ้าต้องซื้อน้ำกินก็จะไม่กินน้ำ อดรอไปกินน้ำที่ห้องจ้า

ระหว่างทำงานก็ได้รับโอกาสในการเปลี่ยนงานบ้าง แต่ในช่วงที่ทำงานก็มีโอกาสได้ทำงานกับหัวหน้าที่ดี ได้ศึกษาความรู้ ผมเป็นคนชอบถาม และลักจำ อะไรไม่รู้ถือว่าผิด ต้องไปหาข้อมูลจนรู้ หลังจากที่ทำงานมาสักระยะก็เริ่มเรียนต่อปริญญาโทไปด้วย แล้วมีความคิดอะไรถึงอยากเรียนปริญญาโท ความคิดเดียวตอนนั้น คือ อยากเป็นหัวหน้างาน แต่ปัจจัยหลักของการเรียนครั้งนี้ก็ คือ เรื่องของเงิน ถึงแม้ผมจะได้รับทุนเรียน 50% แต่ก็ไม่พออยู่ดี สิ่งที่ทำได้ คือ ขอยืมเงินผู้ใหญ่ที่นับถือมาเรียนก่อน และต้องขอขอบพระคุณมา ณ ที่นี้ด้วยครับ ปัจจุบันก็ทำงานใช้หนี้พี่เค้าไปแล้วครับ เรียนจบด้วยผลการเรียน 4.00 มีหลายคนถามว่าทำได้ไง ทำงานก็เยอะ เรียนก็หนัก อย่างเดียวเลยที่ผมทำคือปฏิบัติตามหลักสูตรอย่างเคร่งครัดบวกกับความรับผิดชอบล้วนๆ

สิ่งที่ผ่านมาทั้งหมดก็นึกย้อนกลับไป ผมแทบไม่รู้เลยว่าอะไรคือความสำเร็จ แต่นึกได้แค่ ผมเป็นคนตั้งเป้าหมายไปเรื่อยๆ แล้วทำทันที ทำให้สำเร็จ และก็เริ่มมีการตั้งเป้าหมายที่เกินตัวบ้างก็มี เช่น ต้องมีรายได้หนึ่งล้านบาทให้ได้ในปีนั้นซึ่งผมก็ทำได้ ต้องมีรถปาเจโร่ที่เคยฝันอยากได้มาตั้งแต่เด็กๆ ก็ทำได้ ต้องมีบ้านเดี่ยวให้ได้เพื่อเวลาที่พ่อแม่มาจากต่างจังหวัดจะได้ไม่อึดอัดก็ทำได้ เป็นต้น แต่การได้มาต้องได้มาอย่างสุจริต ผมทำแทบทุกอย่าง งานพิเศษ งานวิทยากร อาจารย์พิเศษ ที่ปรึกษางานโครงการ ใช้ความรู้ ประสบการณ์ความสามารถ เป็นช่องทางในการหาเงิน

ที่เล่ามาจนถึงปัจจุบันนี้ ผมอายุย่างเข้า 33 ปี ได้ทำงานในตำแหน่งผู้บริหารของบริษัทเอกชน ซึ่งสำหรับเด็กบ้านนอกอย่างผมแล้ว อายุเพียงเท่านี้ เรียนจบจากมหาวิทยาลัยเอกชน พอมีเงินรักษาพ่อแม่ จุนเจือครอบครัวได้ ก็ถือว่าดีแล้ว ขอเป็นกำลังใจให้กับคนที่กำลังเผชิญกับอะไรต่างๆ ให้ผ่านไปได้

สิ่งที่ผมแบ่งปัน ก็อยากให้ท่านได้แบ่งปันให้กับคนอื่นได้บ้าง ผมเชื่อว่าคนเราเกิดมาต้องมีความกตัญญู ทำดี ต้องได้ดีครับ

www.facebook.com/kritworld.com9
www.kritworld.com
www.youtube.com/channel/UCWxHSWlSm4TgyV5v35ny-jw

#กฤษฎาแก้ววัดปริง

cr. Kritworld Itmyworld