"ไม่มีเวลา"

"ไม่มีเวลา" เป็นคำบ่นที่เรามักได้ยินเป็นประจำ บ่อยครั้งก็ออกจากปากของเราเองด้วยซ้ำ น่าสังเกตว่าสังคมยิ่งเจริญ เศรษฐกิจยิ่งพัฒนา ผู้คนก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่มีเวลา ทั้งๆ ที่มีอุปกรณ์ทุ่นแรงและทุ่นเวลามากมาย ที่น่าจะช่วยให้มีเวลามากขึ้น ตรงกันข้ามกับคนชนบทซึ่งไม่ค่อยเป็นทุกข์เพราะเรื่องนี้ ทั้งๆ ที่ทำอะไรแต่ละอย่างก็ใช้เวลามากกว่าคนในเมืองทั้งสิ้น เนื่องจากขาดแคลนอุปกรณ์อำนวยความสะดวก


หากเจาะลึกก็จะพบอีกว่า คนยิ่งรวย รายได้ยิ่งสูง ก็ยิ่งไม่มีเวลา อาจเป็นเพราะมีเงินเท่าไรก็ยังไม่พอ จึงหาเงินไม่หยุดหย่อน ที่สำคัญก็คือสำหรับคนกลุ่มนี้ "เวลาเป็นเงินเป็นทอง" ถ้าอยู่เฉยๆ ไม่ทำงาน ก็เหมือนกับปล่อยให้เงินก้อนใหญ่หลุดมือไป มีการสำรวจในหลายประเทศพบว่า คนยิ่งมีรายได้สูงมากเท่าไร ยิ่งทำงานหนักมากเท่านั้น แม้เกษียณแล้วก็ยังไม่หยุดทำงาน


จริงอยู่มีคนรวยจำนวนไม่น้อยที่อยู่สบายโดยไม่ต้องทำมาหากิน อยู่บ้านก็มีบริวารทำงานให้ทุกอย่าง แต่เขาก็ยังบ่นว่าไม่มีเวลาอยู่นั่นเอง ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะยิ่งรวย ก็ยิ่งมีทางเลือกมากมายที่อยากทำ เช่น ช็อปปิ้ง ดูคอนเสิร์ต สังสรรค์กับเพื่อนฝูง เที่ยวเมืองนอก หาซื้อที่สร้างบ้านหลังที่ 4 หรือ 5 ฯลฯ แต่เนื่องจากวันหนึ่งมีแค่ 24 ชั่วโมง ไม่สามารถทำทุกอย่างได้ตามใจหวัง จึงรู้สึกเป็นทุกข์ที่ไม่มีเวลาพอ


ในบรรดาผู้คนที่พากันบ่นว่าไม่มีเวลานั้น น่าสงสัยว่ากี่คนที่ตระหนักว่า เวลาของตนกำลังเหลือน้อยลงทุกที เช่นเดียวกับเวลาที่คนรักทั้งหลายจะอยู่กับตน ที่พูดเช่นนี้ก็เพราะหากผู้คนเฉลียวใจในความจริงดังกล่าว การใช้ชีวิตและเวลาของเขาจะเปลี่ยนไป ไม่มัวแต่ทำมาหาเงิน หรือทำอะไรต่ออะไรมากมาย รวมทั้งวางแผนจะทำอีกสารพัดอย่าง ราวกับว่าจะไม่มีวันตาย


ใครก็ตามที่ตระหนักว่า พ่อแม่มีเวลาเหลือน้อยลงทุกที เขาจะไม่มัวทำมาหาเงินหรือเที่ยวเตร่สนุกสนานจนลืมพ่อแม่


ใครก็ตามที่ตระหนักว่า เวลาที่ลูกจะอยู่กับเขานั้นเหลือน้อยลงทุกที อีกไม่นานเขาก็จะแยกไปมีชีวิตของตน เขาก็จะไม่มัววุ่นวายกับเรื่องนอกบ้าน จนทิ้งลูกไว้กับโทรทัศน์หรือเกมออนไลน์


ถ้าเขาตระหนักว่า เวลาที่ตา หู แขน ขา มือ และเท้า ของเขาจะทำงานได้เป็นปกติ เหลือน้อยลงทุกที เขาก็จะไม่เอาแต่ใช้มันอย่างสมบุกสมบัน หรือใช้ในเรื่องไร้สาระ แต่จะทะนุถนอมดูแล และใช้มันให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง


ถ้าเขาตระหนักว่า เวลาของเขาในโลกนี้เหลือน้อยลงทุกที เขาจะไม่ปล่อยเวลาให้หมดไปกับการทำงานหาเงินหรือแม้แต่การเสพสุขสนุกสนาน จนละเลยสิ่งสำคัญในชีวิต ที่ควรทำให้แล้วเสร็จก่อนจะไม่มีโอกาส


เวลาของเราเหลือน้อยลงทุกที แต่ละนาทีจึงมีค่ามาก จึงควรใช้ให้เกิดประโยชน์เต็มที่ กล่าวคือแทนที่จะเอาแต่ทำงานหาเงินอย่างเดียว ควรใช้เวลาในการสร้างอริยทรัพย์ คือ ทำความดี สร้างบุญกุศล ปลูกธรรมให้เจริญงอกงามในใจ ขณะเดียวกันก็เร่งทำหน้าที่ที่สำคัญให้แล้วเสร็จ ไม่ให้คั่งค้าง ไม่ว่าหน้าที่ต่อคนรัก พ่อแม่ ลูกหลาน สามีภรรยา และหน้าที่ต่อส่วนรวม เช่น ต่อพระศาสนา


การเกิดเป็นมนุษย์นั้นเป็นเรื่องยากอย่างยิ่ง ควรถือเป็นโชคอันประเสริฐ ดังนั้นเมื่อได้ครองความเป็นมนุษย์ จึงควรได้รับประโยชน์สูงสุดแห่งความเป็นมนุษย์ นั้นคือ อิสรภาพและความสงบเย็น อันเป็นสุขอย่างยิ่ง ทั้งนี้ด้วยการภาวนาให้จิตและปัญญาเจริญงอกงาม เพื่อให้ศักยภาพภายใน อันได้แก่ "อริยโลกุตตรธรรม" ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นทรัพย์ประจำตัวของทุกคน เบ่งบานฉายฉานเต็มที่ หากไม่รู้จักหรือไม่ได้รับประโยชน์อะไรเลยจากทรัพย์ดังกล่าว ก็นับว่า "เสียของ" อย่างยิ่ง


เมื่อตระหนักว่าเวลาเหลือน้อย เราจะเห็นความจำเป็นของการลำดับความสำคัญของกิจต่างๆ อะไรที่สำคัญต่อชีวิต ก็รีบทำก่อน ส่วนอะไรไม่สำคัญก็ทำทีหลัง หรืองดไปเลย หลายคนพบว่า เมื่อทำเช่นนี้แล้ว ชีวิตวุ่นน้อยลง มีเวลาว่างมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ไม่มีเหตุให้ต้องรู้สึกผิดหรือเสียใจภายหลัง อย่างที่หลายคนต้องประสบเพราะมัวผัดผ่อน รีรอ หรือละเลยสิ่งที่ควรทำกับคนรักในขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่


อย่างไรก็ตามเมื่อรู้ว่าเวลาเหลือน้อยและต้องรีบทำสิ่งสำคัญ ก็ไม่ได้หมายความว่า ต้องทำแต่สิ่งสำคัญ และละเลยสิ่งไม่สำคัญ หรือทำทุกอย่างด้วยความร้อนรน ไม่ว่าเวลาจะเหลือน้อยเพียงใด เมื่อทำอะไร ใจก็พึงอยู่กับสิ่งนั้น ไม่พึงกังวลหรือคิดถึงงานอื่นที่อยู่ข้างหน้า แม้จะเป็นงานสำคัญ เช่น การภาวนา เพราะไม่ว่าทำอะไรก็ตาม จะเป็นการล้างจาน ซักผ้า กวาดบ้าน หากทำอย่างมีสติ ใจอยู่กับปัจจุบัน หรือตามดูรู้ทันใจของตน นั่นก็เป็นการภาวนาแล้ว


คนที่ตระหนักว่าเวลาเหลือน้อยลง และหันมาปรับเปลี่ยนชีวิต เริ่มต้นด้วยจัดลำดับความสำคัญของกิจต่างๆ เสียใหม่ รวมทั้งน้อมใจอยู่กับปัจจุบันสม่ำเสมอ ในที่สุดจะพบว่า "ไม่มีเวลา" มิใช่ปัญหาอีกต่อไป


- พระไพศาล วิสาโล -